Category Archives: ข่าววันนี้

'บัวขาว' สุดภูมิใจนำไหว้ครู มวยไทย

ของจริงต้องแบบนี้! "บัวขาว" นำทัพไหว้ครู มวยไทย บันทึกสถิติโลก 3,660 คน

จำเป็นต้องกล่าวว่ายิ่งใหญ่ทีเดียว สำหรับงาน วัน มวยไทย (วันที่ 6 กุมภาพันธ์) ที่ในปีนี้ ได้จัดให้มีการไหว้ครู ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมสร้างสถิติโลก (The Guinness World Records) ด้วยจำนวน 3,660 คน

โดยในปีนี้ กองทัพบก ได้ประสานมือกับ ทีเส็บ การท่องเที่ยวแห่งเมืองไทย (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) การกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดงาน “Amazing Muaythai Festival 2023” ขึ้น ระหว่างวันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

จุดหมายการจัดงาน เพื่อสร้างการโปรโมทกีฬามวยไทย มรดกวัฒนธรรมของชาติ ให้ก้าวสู่ความนิยมชมชอบในระดับสากล และระดับโลก และเป็นส่วนหนึ่งของงาน Amazing MuayThai Festival 2023 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก

ซึ่งได้รับเกียรติจาก มัวริซิโอ สุไลมาน ประธานที่ประชุมมวยโลก (WBC), ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, พล.ตสัจจา สุขสุเมฆ นายสนามมวยเวทีลุมพินี, พ.อ.ธนพล ภักดีภูมิ ผู้ช่วยบริหารสภามวยโลก มวยไทย (WBC MuayThai)

แน่นอนงานนี้ “ดำดอตคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ หรือ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ ที่เป็นหนึ่งในกำลังพลกองทัพบก และในฐานะ นักมวยไทย เป็นผู้นำรำไหว้ครูมวยไทย ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของเมืองไทย ที่อุทยานราชภักดิ์ หัวหิน ก่อนบันทึกสถิติโลกได้เสร็จ

บัวขาว นำทัพไหว้ครู มวยไทย บันทึกสถิติโลก

‘บัวขาว’ สุดภูมิใจนำไหว้ครู มวยไทย บันทึกสถิติโลก เป็นรางวัลยิ่งใหญ่ ต้นตำหรับไทยอย่างตามที่เป็นจริง

7 ก.พ.2566- ที่อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงค่ำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ร้อยโท สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ บัวขาว บัญชาเมฆ ให้สัมภาษณ์หลังนำไหว้ครูมวยไทยบันทึกสถิติโลก ว่า “เกินความรู้สึกที่เราได้ทำมา เรามีความตั้งมา และวันนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกินจริงในการได้รับรางวัลเป็นขวัญกำลังใจ แต่สิ่งที่ตนดีใจคือการรวบรวมเป็นแผ่นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา สร้างประวัติศาสตร์ระลึกเป็นใจดวงเดียวกันที่จะเป็นลูกหลานศิลปะของไทยเราจริงๆ ที่เรามาร่วมใจกันในวันนี้ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ว่าทำให้ก่อเกิดต้นตำหรับของไทยอย่างแท้จริง ซึ่งตนมีความภาคภูมิใจและตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่มีภาพเหล่านี้เกิดขึ้น การที่เราไปแสดงโชว์ศิลปะบนเวที หรือการที่เราไปเผยแพร่ให้คนทั่วโลกยอมรับในมวยไทย แต่วันนี้บ้านเราทำใหเเกิดขึ้นเป็นต้นตำหรับแล้ว”

เมื่อถามว่าต้องการฝากอะไรถึงเยาวชนชาวไทยให้รักษาความเป็นไทยของเราไว้ ร้อยโท สมบัติ กล่าวว่า “จริงๆ พวกเราเป็นปูนำทางอยู่แล้ว ฝากรุ่นน้องหรือผู้หลักผู้ใหญ่รวมถึงเยาวชนให้อนุรักษ์การต่อสู้ศิลปะมือเปล่าประจำชาติไทยของเราให้อยู่คงนานต่อไปอย่างน้อยก็ได้มาฝึกซ้อมทำให้ร่างกายแข็งแรงซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า เมื่อเรามาเล่นกีฬาจะหล่อหลอมให้เกิดความมีระเบียบวินัยขึ้นและเป็นพลังที่ทำให้ศิลปะการต่อสู้ของเราอยู่คงนานต่อไปได้”

ถามว่ามวยไทยถัดไปมวยไทยเวทีโโลกจะเป็นอย่างไรนั้น ร้อยโท สมบัติ บอกว่า “สิ่งที่กิดขึ้นนี้ถือเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ที่ก่อกำเนิด ให้ทั่วโลกได้ยอมรับ ตนคิดว่าไม่ช้าก็เร็วที่จะทำให้กีฬาศิลปะประจำชาติไทยก้าวสู่ระดับโลก ตนอยากให้เกิดภาพเหล่านั้นขึ้น สำหรับความประทับใจมากที่สุดในโชว์วันนี้ คือการที่ตนยืนอยู่หน้าทุกคน อยู่หน้าทุกสายตาที่ทุกคนจ้องมองมาหรือหน้าจอทีวีที่พ่อแม่พี่น้องได้ชมการถ่ายทอดในวันนี้ ในความคิดของตนการที่ได้ร่ายรำสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว วันนี้ถือเป็นวันสำคัญและเป็นความภาคภูมิใจและเข้ากับทุกคนที่ทำในวันนี้”

สรุป 7 ข้อ ดราม่า “กุน ขแมร์” ลุกลามถึง “บัวขาว vs มวยกัมพูชา”

ย้อนดราม่า “กุน ขแมร์” ศิลปะการต่อสู้เขมรที่จะมีแข่งใน “ซีเกมส์ 2023” ท่ามกลางเสียงวิภาควิจารณ์จากฝั่งไทย ลุกลามสู่หัวข้อการตอบโต้กันระหว่าง “บัวขาว” และเหล่าคนมวยฝ่ายกัมพูชา

1. “กุน ขแมร์” ศิลปะการต่อสู้ของกัมพูชา เปลี่ยนเป็นข้อความสำคัญที่คนไทยให้ความสนใจ หลังจากที่ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน “ซีเกมส์ 2023” ที่ กัมพูชา เป็นเจ้าภาพ ประกาศว่าจะมีการจัดแข่งขัน กุน ขแมร์ ในกีฬาซีเกมส์คราวนี้ แต่ไม่ยอมใช้ชื่อจำพวกกีฬาว่า “มวย” ราวกับที่เคยเป็นมาในการแข่งขันครั้งก่อนๆ

โดยกล่าวถึงว่าเป็นศิลปะการป้องกันตัวของชาติเจ้าภาพ ทั้งๆที่ใช้กฎกติกาเช่นเดียวกับ มวยไทย แทบทุกอย่าง

2. จากการประกาศดังกล่าวทำให้ สหพันธ์มวยไทยนานาชาติ (IFMA) ตอบโต้ทันที โดยประกาศว่า กีฬามวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง ในซีเกมส์จะต้องใช้ชื่อ “มวย” แค่นั้น ด้วยเหตุว่าแม้จะเปลี่ยนชื่อไปแต่ กติกาของกีฬาชนิดนี้ทุกอย่างยังคงเสมือนมวยไทย พร้อมประกาศเหตุว่า หากชาติใด ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันรายการดังกล่าว ก็จะถูกแบนจากแมตช์ที่ อีฟม่า รับรองอย่างแน่นอน

เหมือนกันกับ สมาคม กีฬามวยไทย สมัครเล่นแห่งเมืองไทย ที่รับรองว่าจะไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันคราวนี้ โดยแจ้งให้ คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ทราบเรียบร้อยแล้ว

3. ด้วยการตอบโต้จากฝั่งไทย ทำให้ชาว กัมพูชา เริ่มแสดงความไม่พอใจเนื่องมาจากเชื่อมั่นว่า “กุน ขแมร์” เป็นต้นตำรับของ มวยไทย จริงๆ และหัวข้อนี้ก็ได้ทำให้เกิดการปลุกความเป็นชาตินิยมของชาว กัมพูชา มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องความเป็น ต้นตำรับ ด้านต่างๆ ทั้งมวยไทย ศิลปวัฒนธรรม อื่นๆอีกมากมาย

ลามไปถึงการเชื่อถือว่าคนที่ใครๆก็รู้จักของไทยบางบุคคลนั้น มีเชื้อสายเขมร หนึ่งในซึ่งก็คือ “บัวขาว บัญชาเมฆ” ยอดนักมวยคนไทย

บัวขาว vs มวยกัมพูชา

โดยในเพจเฟซบุ๊ก Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ได้มีชาวกัมพูชาบางรายมาคอมเม้นต์

ในทำนองว่า “บัวขาว” เป็นคนเขมรหรือมีเชื้อสายเขมร ร้อนถึงเจ้าตัวจำต้องรีบออกมาโพสต์แจกแจง โดยยืนยันว่าเป็น “คนไทยเชื้อสายกูย” ไม่ใช่คนเขมรอย่างที่เชื่อกัน

4. ต่อมา “บัวขาว” Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ก็ได้ออกมาให้ความเห็นอีกที ในระหว่างไปร่วมเปิดตัวภาพยนตร์ Marvel Studios’ Ant-Man and The Wasp: Quantumania โดยพูดว่าไม่ได้ซีเรียสอะไรหากทางกัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงชื่อมวยไทยเป็น กุน ขแมร์ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป อย่างไรมวยไทยก็นับว่าเป็น “ออริจินัล” อยู่แล้ว

5. จากคำให้สัมภาษณ์ของ บัวขาว แปลงเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับฝ่าย กัมพูชา โดย สเรย จันทร รองประธานกิตติมศักดิ์สมาพันธ์มวยกัมพูชา ได้ประกาศว่า พร้อมจะแจกทั้งที่พัก รถ และเงินเดือน 10 ปี ให้กับนักมวยเขมรคนไหนก็ตามที่ล้ม บัวขาว ได้ ตามมาด้วยเน็ตไอดอลกัมพูชาที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า “Yada Yada” ก็ประกาศเพราะว่า จะแต่งงานกับคนที่สามารถเอาชนะบัวขาวได้ แบบที่ไม่ต้องมีของหมั้นใดๆมาให้ แล้วต่อจากนั้น “แก้ว รัมย์จง” นักสู้ กุน ขแมร์ วัย 35 ปี ก็โพสต์ท้า บัวขาว ให้มาสู้กับตัวเองด้วย

6. ระหว่างที่ทางฝั่งกัมพูชากำลังท้าทายบัวขาวอยู่นั้น ยอดกำปั้นชาวไทยก็โพสต์อีกทีโดยการันตีว่า ไม่ได้มีปัญหาใดๆกับชาวกัมพูชาทั้งสิ้น แต่ขอทวงเงินค่าตอบแทน 2.2 ล้านที่ไปขึ้นสังเวียนในรายการ Worldfight tournament ที่ยังได้ไม่ครบจนถึงตอนนี้

7. จากเรื่องความไม่ลงรอยกันที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ จนกระทั่งอาจลุกลามกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศ ทำให้ สเรย จันทร รองประธานกิตติมศักดิ์สหพันธ์มวยกัมพูชา พยายามจบดราม่าด้วยตัวเอง โดยบอกว่า ฝากถึงแฟนมวยคนประเทศไทยอย่าเข้าใจในตัวเขาผิด พร้อมทั้งวอนให้แฟนมวยของพวกเขาหยุดจู่โจมประเทศไทย

กรุงเทพ จมฝุ่น PM2.5

เช็กด่วน "กรุงเทพ" จมฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 70 พื้นที่ เขตประเวศหนักสุด

ฝุ่น PM2.5 ในกทม. เกินค่ามาตรฐาน 70 พื้นที่ ค่าเฉลี่ย 85.2 ไมโคกรัม/ลูกบาศก์เมตร พบสูงสุด เขตประเวศ 105 มคก./ลบ.ม.

สรุปผลการวัด PM2.5 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด) โดย ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร

ตรวจวัดได้ 61-116 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 85.2 มคก./ลบ.ม. ค่า PM2.5 มีแนวโน้มต่ำลง เกินมาตรฐานปริมาณ 70 พื้นที่ อยู่ในระดับเริ่มทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 39 พื้นที่ และมีผลต่อต่อร่างกาย จำนวน 31 พื้นที่

ทั้งนี้ในเวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่น PM2.5 ได้ 61-105 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) โดยมีทิศทางต่ำลง เมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน และพบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 70 พื้นที่ คือ โดยจุดที่มีค่าฝุ่นสูงสุดในพื้นที่ เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าพอๆกับ 105 มคก./ลบ.ม.

PM2.5 เกินมาตรฐาน

สาเหตุที่เกี่ยวเนื่อง(คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศ

ที่ทำให้เกิดผลกระทบ ต่อฝุ่นผงPM2.5 โดยภาวะทางอุตุนิยมวิทยา) คาดว่าอัตราการระบายอากาศในช่วงวันที่ 2 – 4 ก.พ. 66 จะไม่ดี/อ่อน เนื่องด้วยเพดานอากาศต่ำ เกิดสภาวะอากาศ ปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสั่งสมของฝุ่น PM2.5 มีลักษณะท่าทางเพิ่มขึ้น หรือต่ำลงสลับ กันในช่วงนี้ สำหรับในช่วงวันที่ 5 – 8 ก.พ.66

คาดว่าอัตราการระบายอากาศจะดีมีฝนบางพื้นที่ จากทิศใต้ และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้น จากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย พัดเข้ามาปกคลุมแทนที่ลมหนาว ส่วนมวลอากาศเย็น ที่แผ่ปกคลุม เริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบน มีอุณหภูมิสูงมากขึ้น กลางวันอากาศร้อน ทำให้เกิดการสั่งสมของฝุ่นPM2.5 มีลักษณะท่าทางน้อยลง และวันนี้ พื้นที่กรุงเทพมหานคร และบริเวณรอบๆมีหมอก ในตอนตอนเช้า โดยมีฝนเฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่

ช่วงวันที่ 2 – 4 ก.พ. 2566 พื้นที่กรุงเทพและละแวกใกล้เคียงควรเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นผง เพราะเหตุว่าสภาพอากาศที่นิ่ง และปิด โดยพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพกลาง กรุงธนเหนือ และกรุงธนใต้

จากการพิจารณาข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจเจอค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประชาชนสามารถพิจารณาข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกมาจากบ้าน เพื่อกำหนดแผนการดำเนินงาน แนวทางการทำกิจกรรม

โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่ ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ/มีผลเสียต่อสุขภาพ ควรจะลดระยะเวลา หรืองดเว้นการทำกิจกรรมกลางแจ้ง

ทั้งนี้ กรณีประชาชนพบเจอแหล่งกำเนิดมลภาวะสามารถแจ้งร่องรอย ผ่านทาง Traffy Fondue

มลพิษฝุ่น กทม. ติดอันดับ 4 โลก

มลพิษฝุ่น กทม. ติดอันดับ 4 โลก สูงระดับสีแดง ให้งดเว้นกิจกรรม ที่จัดกลางแจ้ง

เตือน “กรุงเทพฯ” มลพิษอันดับ 4 ของโลก กรมควบคุมมลพิษแจ้ง 70 พื้นที่ทั่วราชอาณาจักรค่าฝุ่น PM2.5 สูงในระดับอันตรายสีแดง มีผลกระทบต่อร่างกาย เจาะจงเฝ้าระวัง 3-4 ก.พ.นี้ค่าฝุ่นผงยังสูงสม่ำเสมอ เร่งยกระดับลดจุดความร้อน ผลหารือร่วม กทม.ให้ เจ้าหน้าที่ WFH ส่วน กทม.ยังไม่ประกาศ ปิดสถานที่เรียน แต่ให้งดกิจกรรม กลางแจ้งปัญหาฝุ่นผงจิ๋ว ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ อย่างมากกำลังเป็นประเด็นสำคัญด้านสภาพแวดล้อม ที่ต้องรีบแก้ไข

ทั้งนี้ ที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 2 ก.พ. นายปิ่นปักผมสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะประธานศูนย์ขจัดปัญหามลภาวะทางอากาศ แถลงถึงการยกระดับมาตรการเพื่อลดแหล่งกำเนิด PM2.5 และป้องกันผลพวงต่อสุขภาพอนามัย ว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 2 ก.พ. วัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ระหว่าง 17-158 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.)

คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่ถือว่าไม่ดีมาก ถึงมีผลเสียต่อร่างกาย วันนี้มีพื้นที่สีแดงรวม 70 พื้นที่ทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จำนวนมากอยู่ในเขต กทม.และละแวกใกล้เคียง จัดว่าค่าฝุ่นผงสูงติดต่อกันเป็นวันที่สอง มีปัจจัยหลักจากสภาพอากาศปิด ลมสงบ การจราจรติดขัด ทำให้ฝุ่นสะสมตัวมากขึ้น

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่ากล่าว จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า (GISTDA) เมื่อวันที่ 1 ก.พ. พบจุดความร้อนทั้งประเทศประมาณ 1,200 จุด หัวใจสำคัญสำหรับในการลดจุดความร้อนหมายถึงการจัดการจัดแจงเชื้อเพลิง บางจังหวัดงดเว้นการเผาในบางช่วงเวลา ทำให้บางเวลาเกิดปัญหารุมเผาในบางช่วงเวลาเช่นกัน

ฉะนั้นการจัดการจัดการเผาจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ละจังหวัดจะมีอำนาจเต็มสำหรับการควบคุมการเผา โดยมีแอปพลิเคชัน Burn Check ใน จังหวัดเชียงใหม่ ใช้แล้ว 100% แต่บางจังหวัดยังไม่ 100% ต้องประสานความร่วมแรงร่วมมืออย่างเข้มงวดต่อไป โดยภาครัฐตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนให้ได้ 50-60%

“กรมได้คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล วันที่ 3-4 ก.พ. พื้นที่ กทม. และปริมณฑลควรเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด พื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯกลาง กรุงธนเหนือและใต้ (พื้นที่ท้ายลม) พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ควรเฝ้าระวังบริเวณภาคเหนือตอนบนและล่าง โดยเฉพาะช่วงวันที่ 3-4 ก.พ. ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถิติค่าฝุ่นลดลงในทุกปี แต่ในปี 66 จากการคาดการณ์คาดว่า ค่าฝุ่นอาจรุนแรงกว่าปี 65 เนื่องจากสภาพอากาศจะแล้งมากขึ้น วันที่ 1 มิ.ย. จะมีการปรับเปลี่ยนค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จากเดิมไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. ลดลงเหลือ 37.5 มคก./ลบ.ม.”

ติดอันดับ 4 โลก สูงระดับสีแดง มลพิษฝุ่น

ดังนั้นการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 ต้องเข้มข้นกันมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า IQAir | First in Air Quality ที่เป็นเว็บไซต์จัดอันดับคุณภาพอากาศและจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษของโลก รายงานในเวลา 10.00 น. ว่า กทม.เมืองไทยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) สีแดง 192 มีผลเสียต่อทุกคน คุณภาพอากาศมีมลพิษเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน เมืองลาฮอร์ประเทศปากีสถานและคูเวต

ต่อมา นายปิ่นสักก์แถลงถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ปัจจุบันนี้ค่า PM2.5 อยู่ในระดับเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะไทยตอนกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน ภาคใต้ ทั้งนี้ ในวันที่ 5 ก.พ. PM 2.5 จะลดน้อยลงอยู่ในระดับปานกลาง

แล้วหลังจากนั้นวันที่ 7 ก.พ.จะลดน้อยลงมาอยู่ในระดับค่ามาตรฐาน ทั้งในพื้นที่ กทม. และ 17 จังหวัดภาคเหนือ นายกฯได้กำชับให้ดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ขอความร่วมมือลดการก่อสร้าง การเผาในที่โล่ง แจ้งพลเมืองกลุ่มเสี่ยงตรวจสอบ และดูแลตนเอง ติดตามสถานการณ์ PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน Air 4 Thai ส่วนประชากรในพื้นที่ กทม.ตรวจสอบ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Air Bkk

“สำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม.ไม่ปิด ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต มีอำนาจประกาศเป็นเขตเดือดร้อนรำคาญตาม พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ จะทำให้ควบคุมการเผาได้ อยากขอร้องไปถึงเรื่องธูป เทียน การเผากระดาษเงิน-ทอง แต่คงบังคับมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องความเชื่อ รวมทั้งกิจกรรมก่อสร้างที่ กทม.เป็นเจ้าของโครงการด้วย แนะนำช่วงนี้ว่าควรงดออกกำลังกายกลางแจ้ง ช่วงนี้ตนเองก็หยุด หากออกกำลังกายกลางแจ้งต้องใส่หน้ากาก ส่วนตัวออกกำลังกายในห้อง วิดพื้น-จ๊อกกิ้ง” นายชัชชาติกล่าว

สภาพอากาศวันนี้ ทั่วไทย

เช้านี้ทั่วไทย "เย็นถึงหนาว" ก่อนอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศา ภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง

สภาพอากาศวันนี้ กรมอุตุฯ เปิดเผยไทยอุณหภูมิสูงมากขึ้น 1-3 องศา แต่ตอนเช้ายัง “เย็นถึงหนาว” เตือนภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง

(1 กุมภาพันธ์2566) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงด้านหน้า บริเวณความกดดันอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมเมืองไทย และทะเลจีนใต้ ลักษณะแบบนี้ทำให้ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็น ถึง หนาว ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า

ขอให้ประชาชนรอบๆเมืองไทยดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องมาจากสภาพอากาศ ที่เปลี่ยน และเพิ่มความระแวดระวัง สำหรับการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอก รวมทั้งระวังอันตรายจากอัคคีภัย ที่บางทีอาจเกิดขึ้นเพราะสภาพอากาศแห้งไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่าง มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักในตอนนี้ ส่วนคลื่นลมรอบๆอ่าวไทยตอนล่าง ยังคงมีกำลังออกจะแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร รอบๆที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชากร ที่อาศัยอยู่รอบๆชายฝั่งภาคใต้ ฝั่งทิศตะวันออกระวังอันตราย จากคลื่นที่ซัดเข้าพบฝั่ง ส่วนชาวประมงรอบๆอ่าวไทย และทะเลอันดามันควรจะออกเรือด้วยความรอบคอบ และหลีกเลี่ยงการออกเรือในบริเวณ ที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก วัน

กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศ สำหรับประเทศไทย 00:00 น. วันนี้ ถึง 00:00 น. วันพรุ่งนี้ สภาพอากาศวันนี้

ภาคเหนือ

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 11-16 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส
บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด
อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 10-16 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง

อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า

และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 15-18 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออก

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า
และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

เตือนภาคใต้ระวังฝนฟ้าคะนอง

ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)

ตอนบน: อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
ตอนล่าง: มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อุณหภูมิต่ำสุด 19-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20-40 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ครบรอบ 2 ปีของ รัฐประหารพม่า

ครบรอบ 2 ปีของ รัฐประหารพม่า ปูทางเลือกตั้งเอื้อพรรคทหาร

วันพรุ่งนี้ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวาระครบรอบ 2 ปีของการก่อ รัฐประหารพม่า โดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย สถานการณ์ความเครียด, ปัญหาเศรษฐกิจ, การล่มสลายของประชาสังคม และการถูกประชาโลกโดดเดี่ยว ดูเสมือนจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ทุกสัญญาณชี้ว่ากองทัพเมียนมาเตรียมผนึกอำนาจต่อ และแม้ว่าจะอ้างถึงว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วๆไป ในปีนี้ แต่ก็มีการ ออกกฎเลือกตั้งตัดโอกาสคู่แข่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนการเมือง ที่นำโดยอองซานซูจี ที่วันนี้เปลี่ยนเป็นผู้ถูกศาลทหาร สั่งจำคุกในหลายคดี เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

อาทิตย์ที่ผ่านมารัฐบาลทหารของเมียนมา ประกาศกฎเกณธ์กติกาการเลือกตั้งใหม่ สำหรับพรรคการเมืองที่จะลงเเข่ง ในสนามเลือกตั้งปีนี้ มีเนื้อหาที่เขียนข้อตกลงกล่าวถึงคุณสมบัติของพรรคการเมือง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่เพิ่มหลักเกณฑ์ให้ยาก และซับซ้อนมากขึ้น ชัดเจนว่า เพื่อเป็นการปูทางสำหรับหน้าที่ของกองทัพ เพื่อให้ผูกขาดอำนาจทางการเมืองถัดไป

โดยให้การจัดแจงเลือกตั้งเป็นเพียงการจัดฉากให้ดูดีแค่นั้น พรุ่งนี้เมื่อสองปีกลาย กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารและจากนั้นก็ให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งในสิงหาคมปีนี้ ตามกฎกติกาชุดใหม่ ที่ประกาศผ่านสื่อของรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องการลงเเข่งเลือกตั้ง ในคราวนี้ ในระดับประเทศ ต้องมีสมาชิกพรรค อย่างต่ำ 1 แสนคน มากขึ้นจากคุณสมบัติเดิม ที่กำหนดให้จะต้องมีสมาชิก 1 พันคนเท่านั้น

ปูทางเลือกตั้งเอื้อพรรคทหาร

นอกเหนือจากนั้น รัฐประหารพม่า พรรคที่เข้าเกณฑ์ใหม่ จะต้องแสดงความจำนงว่าจะลงเเข่งขันใน 60 วันจากนี้

หากช้ากว่านี้ก็จะถูกปลดออกจากระบบทะเบียน พรรคการเมือง แน่นอนว่าพรรคที่มีความพร้อมเพรียงที่สุดในยามนี้ ก็คือพรรคที่เป็นตัวเเทน ของทหารเมียนมา นั่นเป็น Union Solidarity and Development Party (USDP) ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมาก ที่เป็นอดีตนายพลของกองทัพ พรรคนี้ปราชัยเลือกตั้งต่อพรรค National League for Democracy หรือ NLD ของนางอองซานซูจี ในปี 2005 และ 2020 อย่างหมดท่า

ก่อนกองทัพทำ รัฐประหาร โค่นรัฐบาลของซูจีในปี 2021 โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ฝ่ายทหารไม่เคยแสดงหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างนี้อย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด วันนี้ สมาชิกพรรค NLD หรือพรรคสันนิบาตแห่งชาติ เพื่อประชาธิปไตย ถูกขัง หรือโดนจับไปแล้วหลายพันคน นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องแอบตัวเพื่อหนีการตามไล่ล่าของทหาร ที่ยิ่งวันยิ่งเพิ่มความร้ายแรง ในการปฏิบัติต่อผู้คัดค้าน การใช้อำนาจเผด็จการของกองทัพ

นักวิเคราะห์ที่ติดตามการเมืองพม่ามายาวนานตั้งข้อคิดเห็นว่ากฎใหม่ ที่ถูกพึ่งประกาศออกมานั้น ไม่ต้องสงสัยว่ามีเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือระบบการเมือง ที่ทหารสามารถมีหน้าที่เข้าควบคุม ได้อย่างเต็มที่ มีปริศนาว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้นำทหารพม่าจะถูกโดดเดี่ยว โดยนานาชาติ แต่ไฉนก็เลยยังสามารถเอาตัวรอดมาได้ถึงทุกๆวันนี้

ทำไมมาตรการคว่ำบาตรจากประเทศต่างๆ ก็เลยไม่เป็นผลทำให้มิน อ่อง หล่ายต้องยอมผ่อนปรนมาตรการทำลายล้างประชาชน อย่างหนักของตนเอง คำตอบคือผู้นำทหารพม่าคนนี้ พยายามคว้าจังหวะและโอกาสที่มีความปริแยกของประเทศใหญ่ๆ ในสังคมโลกเพื่อยังสามารถแทรกตัวให้ได้รับการช่วยเหลือจากประเทศที่อยู่คนละข้างกับโลกตะวันตก

เดิมทีสหรัฐอเมริกา และยุโรปหวังว่าแรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจ และการทูตจะบีบให้กองทัพเมียนมายอมยอมตามแต่ต้องเลิกใช้กระบวนการเผด็จการ กับผู้เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารพม่ากลับหาประโยชน์จากความแตกแยกทั่วทั้งโลก โดยยิ่งเข้ามากลุ่มประเทศ ที่มีมีความขัดแย้งกับโลกตะวันตก

การเข้าจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ พบว่า ลูกชายของ นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูมูลค่าเกือบ 30 ล้านบาทในใจกลางกรุงเทพฯ ผลของการสอบปากคำยังเจอ สมุดบัญชีเงินฝาก ของลูกสาวนายพล ของสถาบันการเงินชั้นหนึ่งแห่งหนึ่งของไทย สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร ต่อเจ้าหน้าที่ทหารของเมียนมา และบริษัทในเครือทางทหารหลังการยึดอำนาจ ในเดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2021 อีกทั้งทรัพย์สินของลูกๆของมิน อ่อง หล่ายก็ถูกอายัดในสหรัฐอเมริกา

หลายประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่า รวมถึงการไม่ส่งเอกอัครราชทูตไปประจำพม่า สถาบันป้องกันประเทศของญี่ปุ่นจะหยุดรับนายทหาร จากเมียนมาในปีงบประมาณใหม่นี้ กองทัพเมียนมาตอบโต้ว่า มาตรการต่างๆเหล่านี้ถือว่าเป็นการแทรกแซง กิจการภายในประเทศ แต่จีนและรัสเซียยังคบพม่าในระดับเดิม พม่ายังคงรักษาความเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจที่เหนียวแน่นกับจีน และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆที่ไม่ใฝ่ใจตะวันตก

น่าเชื่อได้ว่า คนที่เกี่ยวข้องกับการทหารคนจำนวนไม่น้อยก็คงถือครองทรัพย์สิน และเป็นเจ้าของธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านพม่าเหมือนกับลูกของ มิน อ่อง หล่าย เช่นเดียวกัน พม่ายังคงติดต่อค้าขายกับเพื่อนบ้าน บางกลุ่ม จีน ประเทศอินเดีย และไทยรวมกันมีรูปทรงมากกว่า 50% ของการค้าทั้งหมดของเมียนมา ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปมีสัดส่วนเพียง 14%

ผู้ชำนาญบอกว่าเศรษฐกิจของเมียนมาวันนี้ ยังมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เจริญก้าวหน้าก็ตาม กองทุนการเงินระหว่างชาติคาดว่าสินค้ามวลรวมภายในประเทศ ที่ตามที่เป็นจริงของเมียนมาจะเติบโตมากกว่า 3% ในปีงบประมาณปีใหม่นี้ ถือเป็นการฟื้นจากการหดตัว 18% ในปีงบประมาณปี 2021

รัฐประหารพม่า

ก็ด้วยเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจนี่แหละที่ทำให้กองทัพสามารถเริ่มจัดแจงเลือกตั้งทั่วๆไปได้เร็วสุดในเดือนสิงหาคมนี้

โดยหวังว่าจะมอบอำนาจให้พรรคในเครือข่ายทหาร เพื่ออ้างความชอบธรรมกับสังคมโลกว่า ได้จัดให้การเลือกตั้ง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว นอกจากนั้น เมียนมายังกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ซึ่งมีความขัดแย้งกับชาติตะวันตก ในเรื่องสงครามยูเครน พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย พบกับประธานาหัวหน้ารัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในเดือนกันยายน เพื่อรับรองความร่วมแรงร่วมใจทวิภาคี เมื่อธ.ค.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ลงมติมติหนแรก ที่เรียกร้องให้เมียนมาร์เป็นประชาธิปไตย แต่รัสเซีย จีน และประเทศอินเดียงดเว้นออกเสียง

สำหรับกองทัพเมียนมา การเป็นแถวร่วมกับรัสเซีย และจีนได้คุณประโยชน์อย่างหนึ่งตรงที่ไม่กังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก พอๆกับสหรัฐฯ และยุโรป เวลานี้ ออง ซาน ซูจี ยังถูกคุมตัวหลังการปฏิวัติ และถูกตัดสินติดคุกรวม 33 ปีแล้วในหลายๆคดี กองทัพยังคงทรมาน และประหารฝ่ายตรงข้าม สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองระบุว่า ข้าราชการ 2,827 คนถูกสังหารตั้งแต่การยึดอำนาจ ไม่แต่เพียงแค่นั้น กองทัพพม่ายังได้เดินหน้าจู่โจมทางอากาศต่อกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ และเผาหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านสำหรับเพื่อการสู้รบ บ้านเมืองมากกว่า 48,000 หลังถูกทำลายจนถึงสิ้นเดือนเดือนธันวาคม

อาเซียนหรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่สามารถจะกดดันให้กองทัพพม่า ยอมเอาอย่าง “ฉันทามติ 5 ข้อ” เพื่อให้อาเซียนช่วยสร้างสมานฉันท์ในประเทศนั้น ดูเหมือนกับรัฐบาลทหาร ของเมียนมาจะมีความมั่นใจมากขึ้น เกี่ยวกับการกุมอำนาจรัฐของตัวเองด้วยซ้ำ

สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันเอกราชปีที่ 75 ของเมียนมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา มิน อ่อง หล่ายประกาศจะรักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับ เพื่อนบ้านอย่าง จีน ไทย และประเทศอินเดีย “ผมขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับความร่วมมือและข้อเสนอแนะขององค์กรระดับนานาชาติและระดับภูมิภาคและประเทศต่างๆ ท่ามกลางแรงกดดันและการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา” เขากล่าว ผมไม่แน่ใจว่าเราควรจะดีใจหรือกังวลที่เขากล่าวขอบคุณประเทศไทยด้วย?

เทคโนโลยี 2023 สำคัญ

เทคโนโลยี 2023 2023 ที่สำคัญ จาก MIT Technology Review

ในทุกๆปี MIT Technology Review จะเลือกเอา 10 เทคโนโลยี 2023 ที่สำคัญที่สุดที่ปีมาอัปเดตให้กับเราได้รู้ว่าเวลานี้โลกพัฒนาไปถึงไหนแล้ว มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้าง หรือเทคโนโลยีใด ที่กำลังเป็นกระแส ด้วยเหตุว่าความเจริญของเทคโนโลยี ออกจะที่จะมีผลเสียต่อการใช้ชีวิต ของเรามากพอเหมาะสม

เราควรต้องที่จะตามให้ทัน เพื่อดูว่ามีเทคโนโลยีใดบ้างที่เรา ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้มากที่สุด หรือมีความเกี่ยวข้องจนกระทั่งจะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง MIT Technology Review ก็ได้ให้เหตุผลมาด้วยว่า เหตุใดเทคโนโลยีทั้งหมดนี้จึงสำคัญ

CRISPR ตัดต่อยีน เพื่อควบคุมคอเลสเตอรอล

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา CRISPR (คริสเปอร์) ซึ่งเป็น gene-editing tool ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากห้องแล็บสู่สถานพยาบาล โดยเริ่มต้นมาจาก การใช้รักษาเชิงทดลองสำหรับความผิดพลาดปกติทางพันธุกรรมที่หายาก แต่ ณ เวลานี้ CRISPR เริ่มเป็นที่แพร่หลายสู่การทดลองทางคลินิก สำหรับสภาวะทั่วไป จนกระทั่งถูกประยุกต์ใช้รักษาโรค ที่พื้นฐานมากขึ้น ดังเช่น การควบคุมสภาวะคอเลสเตอรอลสูง รูปแบบใหม่ของ CRISPR กำลังเดินต่อไป

AI ที่สร้างรูปภาพขึ้นมา

ในปีที่ผ่านมา AI ได้รุกคืบไปสู่วงการศิลป์อย่างเต็มตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลที่ตามมาก็เป็นเกิดดราม่าต่างๆนานา เกี่ยวกับผลงานศิลปะที่ AI ทำขึ้น และที่ยืนของนักแสดงที่เป็นมนุษย์ แต่ทว่าปีนี้จะเป็นอีกปี ของศิลปิน AI ซึ่งเป็นโมเดลซอฟต์แวร์ ที่พัฒนาโดย Google, OpenAI และบริษัทอื่นๆ ในการสร้างงานศิลปะสุดน่าทึ่งตามคำสั่งเพียงไม่กี่คำสั่ง กล่าวง่ายๆก็คือ เพียงแค่คุณพิมพ์คำชี้แจงสั้นๆว่า ต้องการรูปภาพแบบไหน คุณจะได้รูปภาพตามที่คุณขอ ข้างในเวลาไม่กี่วินาที ทำให้ “จะไม่มีอะไรเหมือนอีกต่อไป”

การออกแบบชิป (chip) ที่เปลี่ยนทุกสิ่งอย่าง

เนื่องด้วยอุตสาหกรรมชิปกำลังมีความเคลื่อนไหวอย่างมาก จากที่ผ่านมา ผู้สร้างจำเป็นต้องซื้อลิขสิทธิ์สำหรับการผลิตไมโครชิป จากบริษัทขนาดใหญ่แค่ไม่กี่เจ้า แต่ในเวลานี้มี open standard ตัวใหม่ที่ชื่อว่า RISC-V เข้ามาทำให้วงการ ออกแบบชิปแปรไป ซึ่งทำให้ผู้สร้างไม่ต้องพึ่งพา chip designers ที่มีเพียงไม่กี่เจ้า ในตลาดอีกต่อไป ทุกคนสร้างชิปได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะมีบริษัท startup เป็นจำนวนมากที่กำลังสำรวจความเป็นไปได้สำหรับการสร้างชิปขึ้นมาเอง

โดรนที่ใช้ทางการทหารในตลาดทั่วไป

เดิมที โดรนทางการทหารที่กองทัพใช้นั้นเป็นสิ่งที่ประเทศเล็กๆไม่สามารถเข้าถึงได้ ด้วยเหตุว่ามีราคาแพง และกฎหมายควบคุมการส่งออก ที่เข้มงวด แต่ความเจริญของเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นมา ทำให้หลายบริษัท สามารถสร้างโดรนสู้รบที่มีความซับซ้อนได้ในราคาที่ถูกลงมามาก อย่าง Bayraktar TB2 ของตุรเคีย และโดรนราคาถูกอื่นๆ ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ของสงครามโดรนเสียแล้ว

รถ EV ที่มาแรง

เทรนด์ เทคโนโลยี มาแรงปี2023

การจ่ายยาทำแท้ง ผ่านระบบแพทย์ระยะไกล (telemedicine)

เนื่องจากศาลฎีกาสหรัฐฯได้วินิจฉัยว่า เมืองต่างๆ สามารถออกกฎหมายต้านการทำแท้งได้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ทำให้กระบวนการทำแท้ง ไม่ใช่สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป หลายรัฐในอเมริกาแบนสถานพยาบาลทำแท้ง ผู้หญิงปริมาณมาก ไม่สามารถเข้าถึงการทำแท้งได้ ผู้ที่ต้องการทำแท้งจึงจำต้อง “หาแพทย์” ผ่านวิดีโอคอล ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และบริษัท startup ก็เลยหันมาใช้ telehealth เพื่อสั่งจ่ายยาและจัดส่งยาข้ามรัฐเพื่อช่วยให้ผู้คนทำแท้ง ได้อย่างปลอดภัยที่บ้าน

อวัยวะตามสั่ง

ในแต่ละวัน จะมีคนเจ็บเฉลี่ย 17 คนภายในสหรัฐอเมริกาท่จะต้องเสียชีวิตลงะหว่างรอคอยการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เนื่องจากไม่มีอวัยวะให้เปลี่ยน แต่คนเหล่านี้บางทีก็อาจจะรอด รวมถึงคนอื่นก็จะได้รับการช่วยเหลือจากเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ ที่ทำให้มีอวัยวะที่แข็งแรงรอให้เปลี่ยน ซึ่งมันอาจมีอยู่อย่าง ไม่จำกัดด้วย เหตุเพราะนักวิทยาศาสตร์ สามารถเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจากหมูที่ได้รับการตัดต่อกรรมพันธุ์ รวมถึงการสร้างปอดด้วย 3D-printing โดยใช้เซลล์ของคนเจ็บเองเป็นหมึกพิมพ์

รถ EV ที่มาแรงจนขวางไม่ได้

ในที่สุด รถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็กลายเป็นตัวเลือกให้กับโลกใบนี้เสียที ทุกวันนี้ รถ EV ได้รับความนิยมแพร่หลาย มากขึ้น เนื่องจากว่าแบตเตอรี่รถมีราคาที่ถูกลง และรัฐบาลในหลายประเทศ ได้ผ่านกฎการปลดปล่อยมลพิษ บัญญัติกฎหมายที่เคร่งครัดขึ้น ในเรื่องของการควบคุมรถที่ใช้น้ำมัน ส่วนผู้สร้างรถยนต์รายใหญ่หลายรายก็ได้ออกมาให้คำมั่น ประกาศออกสื่อว่าจะมุ่งผลิตรถยนต์กระแสไฟฟ้าทั้งหมด และเร็วนี้ๆนี้ ผู้ใช้ทุกหนทุกแห่ง ก็จะมีเหตุผลในด้านที่ดีๆมากมาย สำหรับเพื่อการเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากกว่าที่จะไม่ยอมรับ

MIT Technology Review

เทคโนโลยี 2023 ใช้ในการศึกษาวิจัย

กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb

กล้องส่องทางไกลอวกาศ James Webb ถูกทำขึ้นมาเพื่อสืบทอดภารกิจของกล้องกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble สำหรับการสำรวจเอกภพ มันถูกส่งออกไปถ่ายภาพในอวกาศเมื่อสิ้นปี 2021 อย่างไรดีแล้ว ภาพจักรวาลอันไกลมากที่ถ่ายได้โดยกล้องกล้องส่องทางไกลอวกาศตัวนี้นั้นน่าทึ่งตะลึงงันมาก และมันก็ส่งภาพลักษณะนี้กลับมายังโลกมากมาย แปลงเป็นว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศ ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ตัวนี้ทำให้การศึกษาค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างเร็วพอๆ กับที่นักวิทยาศาสตร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้จากภาพมากมายนั้น นี่เป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ ของวงการดาราศาสตร์

การวิเคราะห์ DNA ยุคดึกดำบรรรพ์

แต่ก่อน การจะหาลำดับจีโนม จำเป็นที่จะต้องมีกระดูกหรือฟันของคนในยุคนั้น แต่ตอนนี้ มีอุปกรณ์หาลำดับจีโนมยุคใหม่ที่ละเอียดมากพอ ที่จะวิเคราะห์ และช่วยให้พวกเราอ่าน DNA ของมนุษย์ที่เก่าแก่มากๆได้ โดยใช้เพียงตัวอย่างเป็นดินที่มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์เคยฉี่ใส่ ทำให้การศึกษาเล่าเรียนร่องรอย ของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่เมื่อนานมาแล้ว ทำได้ง่ายขึ้น เปิดเผยให้โลกมีความเห็นว่าพวกเขาใคร และเหตุใดโลกยุคนั้นก็เลยเป็นแบบนั้น ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจชีวิตของผู้คนทั่วไปที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น ไม่ใช่แค่ชีวิตของมนุษย์ที่สามารถจ่ายเงิน ค่าฝังศพอย่างวิจิตรบรรจงได้เท่านั้น

รีไซเคิลแบตเตอรี่

เมื่อรถ EV มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ความต้องการแบตเตอรี่ ก็มากขึ้นด้วยเหมือนกัน ทำให้หลายบริษัทกำลังสร้างโรงงาน ที่จะนำแบตเตอรี่เก่ามา รีไซเคิล เรียกคืนลิเธียม นิกเกิล และโคบอลต์ จากนั้นก็ป้อนโลหะพวกนี้กลับไปยังผู้ผลิตแบตเตอรี่ lithium-ion การรีไซเคิลมีความสำคัญในด้านของการตัดวงจรการทิ้งแบตเตอรี่ ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ แบตเตอรี่จำเป็นต้องไม่จบลงที่การฝังกลบ ด้วยเหตุว่ามันบางทีอาจเป็นแหล่งโลหะที่จำเป็นอย่างมาก ในการจ่ายพลังงานให้กับรถ EV ในอนาคต วิธีแบบนี้จะทำให้ทุนแบตเตอรี่ถูกลงกว่าเดิม อีกทั้งยังลดขยะอันตรายลงได้อีกด้วย

เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียนชิง

เช็กเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียนชิง 5.6 แสนสิทธิ์ต่อห้อง เริ่มเดือน ก.พ. นี้

เช็กเงื่อนไข เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ลงทะเบียน www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ชิงสิทธิ์ 560,000 สิทธิ์ต่อห้อง เริ่มเดือน กุมภาพันธ์ 66

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า ที่สัมมนา คณะรัฐมนตรี อนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,946,434,800 บาท เพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016,000,000 บาท และโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย วงเงิน 1,930,434,800 บาท เกิดผลดีต่อผู้ประกอบธุรกิจทั้งใน และนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งภาคแรงงาน ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกว่า 11 ล้านคน ทั้งนี้ คาดว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 12,539 ล้านบาท

เช็กเงื่อนไขเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้านการท่องเที่ยว ปริมาณ 2 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016 ล้านบาท

แนวทางดำเนินการ

  • การลงทะเบียนใช้สิทธิเข้าโรงแรมที่พักจำนวนห้องพัก 560,000 สิทธิ์ต่อห้อง รัฐสนับสนุน 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน สูงสุด 5 ห้อง
  • คูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) 600 บาทต่อวัน
  • พื้นที่ดำเนินการ : ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย
  • ระยะเวลาดำเนินการ : เดือน ก.พ.-ก.ย. 66
  • ผู้รับประโยชน์จากโครงการ : ประชาชนไทยที่เข้าร่วมโครงการและใช้สิทธิ และผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวที่เข้าร่วม
  • สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com พร้อมติดตั้งเป๋าตัง โดยต้องจองห้องพักล่วงหน้าก่อนเดินทาง 7 วัน

ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการลงทะเบียน และยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิจำนวน 5 สิทธิ สำหรับประชาชนที่เคยใช้สิทธิแล้ว สามารถกดให้ความยินยอม consent ในระบบได้เลย โดย 5 สิทธิดังกล่าว ไม่นับรวมสิทธิที่ใช้แล้วในโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4

โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล เช่นเดียวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการที่มุ่งให้เกิดการใช้จ่ายและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นการบรรเทาภาระของประชาชน

ทั้งนี้ โครงการฯ ยังมีแนวทางป้องกันการทุจริต : ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดให้มีระบบแสดงจำนวนห้องพักของแต่ละโรงแรม-ที่พัก หากมีการจองเกินจำนวนห้องที่แจ้งไว้ ระบบจะสามารถจำกัดการจองได้ โดยมอบให้ ททท. สำนักงานสาขาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ และเพื่อป้องกันการขึ้นราคาห้องพักเกินจริง จึงให้มีการระบุในแบบฟอร์มยินยอม (consent) ให้ชัดเจน

หากโรงแรมที่พักเจตนาขึ้นราคาห้องพักเกินจริง สามารถเอาผิดเรียกเงินคืน และระงับการจ่ายได้ รวมทั้งต้องได้รับโทษถึงการตัดสิทธิในการเข้าร่วมทุกโครงการของรัฐบาล รวมทั้งจะมีระบบสแกนใบหน้าของผู้ใช้สิทธิในการเชคอินเข้าพักและการใช้ e-voucher เพื่อป้องกันการใช้บัตรประชาชนผู้อื่นสวมสิทธิ

2. โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย

เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไทยกับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น วงเงินรวม 1,930.4348 ล้านบาท

แนวทาง การดำเนิน กิจกรรม

  • การกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย จากต่างประเทศ โดยเน้นการนำเสนอ Soft Power ผ่าน Digital Market และกิจกรรมทางการตลาด
  • กระตุ้นท่องเที่ยวไทย เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ไทยเที่ยวไทย) ให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวบ่อยครั้งขึ้น
  • การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ เผยแพร่และสร้างกระแส การเดินทางภายในประเทศ ภายใต้แคมเปน Amazing Thailand, Amazing New Chapters
  • การยกระดับคุณภาพสินค้า เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว
  • สำหรับพื้นที่ดำเนินการ คือ จังหวัดทั่วประเทศไทย ระยะเวลาดำเนินการในช่วงเดือน ก.พ.-ก.ย. 66 ซึ่งเป้าหมายของโครงการฯ เพื่อช่วยผลักดัน และสนับสนุนการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้า
  • หมาย 2.38 ล้านล้านบาท

การดำเนินโครงการอยู่ในช่วงระหว่างเดือน เดือนกุมภาพันธ์-ก.ย. 66 ซึ่งเป็นช่วงฤดูการท่องจำเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างยิ่งเทศกาลสงกรานต์ และวันหยุดสม่ำเสมอจากนักขัตฤกษ์ในเดือน พฤษภาคม,มิ.ย. และส.ค. ช่วยกระตุ้นรายได้ให้กับประเทศ ทำให้ระบบ เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็น การช่วงชิงจังหวะในการแข่งขัน กับประเทศต่างๆ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่รุนแรง และมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ ไม่มีข้อจำกัดด้วย

วิธีลงทะเบียน เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5

วิธี ลงทะเบียน เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 www.เราเที่ยวด้วยกัน.com

เปิดรายละเอียด-วิธีลงทะเบียนโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 จำนวน 5.6 แสนสิทธิ์ ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ก่อนเริ่มใช้สิทธิ์ตั้งแต่ก.พ.-ก.ย. 2566

ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2566 อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 วงเงินรวม 2,016,000,000 บาท เพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองไทยด้านการท่องจำเที่ยว โดยจะเริ่มให้ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เดือนกันยายน 2566

ตลาดรถอีวีแข่งเดือด BYD เขย่าอีกรอบ แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวจ้าละหวั่น
ทอท.สับเปลี่ยนเก้าอี้บอร์ด ตั้ง “พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” นั่งกรรมการ
ครม.ไฟเขียว เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 เริ่มใช้สิทธิ กุมภาพันธ์ 2566
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ดังนี้

รายละเอียด การใช้สิทธิ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5

โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ให้สิทธิ์แก่ประชาชน ในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ภายในประเทศ โดยภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือ

  • สนับสนุนค่าที่พัก 40% (ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน) สูงสุด 5 ห้อง
  • คูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) 600 บาท/วัน
  • กำหนดจำนวนสิทธิเข้าโรงแรมที่พักจำนวนห้องพัก 560,000 สิทธิ์/ห้อง
  • 1 คน สามารถใช้สิทธิ์ได้สูงสุด 5 สิทธิ์
  • จำนวนสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 นี้ จะไม่นับรวมกับสิทธิ์ที่เคยได้รับในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4

การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีดังนี้

  • ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
  • ลงทะเบียนร่วมโครงการที่เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
  • ทำได้ทั้งผู้ใช้สิทธิ์รายใหม่ และผู้ใช้สิทธิ์รายเดิมที่เคยได้รับสิทธิ์ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4
  • ผู้ใช้สิทธิ์รายเก่า : ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และกดให้ความยินยอม (Consent) เพื่อรับสิทธิ์ได้ทันที
  • ผู้ใช้สิทธิ์รายใหม่ : ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และยืนยันตัวตนตามขั้นตอน
  • ใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง”
  • ทำการจองห้องพักล่วงหน้าก่อนเดินทาง 7 วัน

แนวทางป้องกันการทุจริต เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5

สำหรับโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ภาครัฐมีการวางแนวทางป้องกันการทุจริต โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสาขาในประเทศ สำหรับในการจัด ให้มีระบบแสดงปริมาณที่พักของแต่ละโรงแรม/ที่พัก หากมีการจองเกินจำนวนห้อง ที่แจ้งในระบบ ระบบจะสามารถจำกัดการจองได้

พร้อมทั้งจัดให้โรงแรม/ที่พักที่ร่วมโครงการ มีการกำหนดคำยินยอม ในแบบฟอร์มให้ชัดเจน ในการป้องกันปัญหาการขึ้นราคาหอพักเกินจริง โดยหากโรงแรม ที่พักเจตนาขึ้นราคาที่พักเกินจริง สามารถเอาผิดเรียกเงินคืน และระงับการจ่ายได้ รวมทั้งจะต้องได้ต้องโทษถึงการตัดสิทธิสำหรับในการเข้าร่วม ทุกโครงการของรัฐบาล

สำหรับการป้องกันการทุจริตในส่วนผู้ใช้สิทธิ์ จะมีการเรียบเรียงสแกนบริเวณใบหน้าของผู้ใช้สิทธิ สำหรับในการเช็กอินเข้าพัก และการใช้ e-voucher เพื่อป้องกันการ ใช้บัตรประชาชนคนอื่นสวมสิทธิ

Avatar The Way of Water

Avatar The Way of Water รายได้ทะลุ 2 พันล้านเรื่องที่ 6 ในประวัติศาสตร์

ยังแรงไม่หยุด Avatar: The Way of Water ทำรายได้ทะลุ 2 พันล้านเหรียญ ภายในเวลาเพียงแค่ 39 วัน ขึ้นแท่นหนังเรื่องที่ 6 ของโลกแค่นั้นที่สามารถทำเงินได้ในระดับนี้

หลังจากเข้าฉายมาได้เพียงแค่ 6 อาทิตย์ ภาพยนตร์อวตาร ภาค 2 “Avatar: The Way of Water” หรือ “อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ” ก็ทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์เพียงแค่นั้นที่สามารถทำรายได้จากวิธีขายตั๋วได้สูงระดับนี้

โดยเรื่องที่ทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านเหรียญไปก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ได้แก่Avatar, Avengers: Endgame, Titanic, Star Wars: The Force Awakens และ Avengers: Infinity War

จากรายนามที่เห็นพอๆกับว่า เจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับเพียงคนเดียวของโลกที่ทำหนังรายได้ทะลุ 2 พันล้านถึง 3 เรื่องด้วยกันเป็นAvatar1, 2 และ Titanic

ในส่วนของนักแสดงนั้น โซอี้ ซัลดานา ซึ่งเล่นบท “เนย์ทิรี” ในภาพยนตร์ อวตาร และบท “กามอรา” ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ ของมาร์เวล ก็เปลี่ยนเป็นผู้แสดงเพียงคนเดียวของโลกเช่นกันที่ได้แสดงหนังระดับ 2 พันล้าน ถึง 4 เรื่อง จากทั้งหมด 6 ได้แก่ Avatar, Avatar: The Way of Water, Guardians of the Galaxy, Avengers: Endgame และ Avengers: Infinity War

Box Office Mojo แถลงการณ์ว่าขณะนี้ The Way of Water ทำรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 2,024 ล้านดอลลาร์ ตามหลังหนังทำเงินอันดับ 4 และ 5 ของโลกอย่าง Star Wars: The Force Awakens” (2,071 ล้านดอลลาร์) และ Avengers: Infinity War (2,052 ล้านดอลลาร์) อยู่เพียงหน่อยเดียวเพียงแค่นั้น และมีลักษณะท่าทางว่าจะแซงได้ในเวลาไม่นานเพราะว่าจนกระทั่งตอนนี้ อวตาร 2 ยังครอบครองอันดับ 1 หนังทำเงินในแถบ อเมริกาเหนือ มาติดต่อกันเป็นอาทิตย์ที่ 6 แล้ว เรียกว่าความแรงยังไม่ต่ำลงแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ “อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ” หรือ The Way of Water จะเข้าฉาย เจมส์ คาเมรอน ได้ให้สัมภาษณ์ นิตยสารจีคิว เอาไว้ว่า Avatar2 นับว่าเป็น “กรณีตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์” เพราะเหตุว่าจะต้องทำรายได้ติดอันดับ 1 ใน 4 ของหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลถึงจะเรียกว่าคุ้มกับการลงทุน

ในขณะที่นักวิเคราะห์เห็นว่า “จุดคุ้มทุน” ของหนังเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ราว1,500 ล้านดอลลาร์ ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ CG ทั้งเรื่องจึงมีต้นทุนสูงมาก

ปัจจุบันนี้ Avatarภาคแรกที่ออกฉายเมื่อ 13 ปีกลาย ยังครองตำแหน่ง “หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล”เอาไว้ได้ที่ 2,900 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Avengers: Endgame อันดับ 2 ที่ 2,790 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 คือ Titanic ด้วยรายได้ 2,190 ล้านดอลลาร์

Avatar รายได้ทะลุ 2 พันล้าน

ข้อสรุปน่าทึ่งของ Avatar: The Way of Water (อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ)

เป็นหนังที่ทำรายได้แตะต้องหลัก 2 พันล้านดอลลาร์ ได้เร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก Avengers: Endgame โดยทำได้ในเวลาเพียงแค่ 39 วัน เร็วกว่าAvatar ภาคแรก 6 วัน

ด้วยรายได้ทั้งโลก 2,024 ล้านเหรียญ ทำให้ The Way of Water แปลงเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลอันดับ 6 แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ได้ภายในอาทิตย์นี้

Hollywood Reporter แถลงการณ์ว่า The Way Of Water ใช้งบประมาณในการสร้างกว่า 350 ล้านเหรียญ ไม่นับรวมค่าการตลาด และค่าประชาสัมพันธ์อีกหลาย สิบล้านเหรียญ ทำให้เปลี่ยนเป็นหนึ่งในหนังที่มีต้นทุนสูงที่สุด เท่าที่เคยมีการสร้างกันขึ้นมา
Avatar 2 เปิดตัวด้วยรายได้ที่น่าผิดหวังในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็น134 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของทุกฝ่าย แต่กลับทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านเหรียญในเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังออกฉาย

ปัจจุบันAvatar: The Way Of Water ครองอันดับ 1 แชมป์บ็อกซ์ ออฟฟิศมาเป็นเวลามากถึง 6 อาทิตย์แล้ว

The Way of Water รายได้ทะลุ 2 พันล้าน

เปิดคอนเซ็ปต์Avatar 4 และ 5 จัดเตรียมพบการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลา-กลับสู่โลกที่ล่มสลาย

ดูดุจว่ามหากาพย์Avatar ที่ยืนยาวถึง 5 ภาค กับช่วงเวลามากกว่า 20 ปี จะถูกคิดแผนเอาไว้หมดแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหลือเพียงกระแสตอบรับจากแฟนๆเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่ามันจะได้ไปต่อหรือไม่ หลังจากที่ในภาคแรก แนะนำให้พวกเรารู้จักกับโลกใบใหม่ ภาคที่ 2 ก็ได้เริ่มปูทางแนะนำนักแสดงใหม่ๆก่อนที่ภาค 3 จะลงลึกถึงความข้องเกี่ยวระหว่างเชื้อสายต่างๆใน ดาวแพนดอร่า อันแสนสวยสดงดงาม และตอนนี้พวกเขาเริ่มแย้มให้เรารู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน 2 ภาคสุดท้ายของเรื่องราวแล้วด้วย

สำหรับเพื่อการให้สัมภาษณ์กับวารสาร Empire โปรดิวเซอร์ จอน แลนทายใจ ได้บอกใบ้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงท้ายของมหากาพย์ Avatar ทั้งการ Time Skip หรือการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลา และการนำเรากลับไปยังดาวโลก เขาเล่าถึงเรื่องพวกนี้เอาไว้ว่า

“หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลาครั้งใหญ่ในAvatar 4 ในภาคสุดท้ายเราจะกลับไปที่โลกกันครับ มันจะเป็นเรื่องราวของดาวโลกที่ถูกตัดไปจากหนังภาคแรก นำเสนอโลกที่ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง ทั้งปัญหาประชากรล้นโลก และการขาดแคลนทรัพยากรขั้นวิกฤตที่ทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก แต่เราไม่ได้อยากจะให้ภาพเหล่านั้นออกมาสิ้นหวังและไร้ชีวิตชีวาขนาดนั้น หนังชุดนี้จะเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่เราจะแก้ไขมันด้วยครับ”

หากเป็นแบบนั้นจริง ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เราจะได้เห็นเหล่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่ถูกแนะนำตัวในภาคนี้เติบโตขึ้น และกลายเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้จะถูกผลักดันมากยิ่งขึ้นเพราะในภาคที่ 3 จะมีการโชว์ด้านมืดของชาวนาวี ขณะเดียวกันก็จะแสดงให้เห็นด้านที่ดีมากขึ้นของมนุษย์ด้วย ทั้งหมดล้วนนำไปสู่บทสรุปทั้งสิ้น ชวนให้น่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียวว่าหลังจากนี้จะมีอะไรรอพวกเราอยู่บ้าง

เปิดนาทีตำรวจซ้อนแผนจับ เจ้าหน้าที่สรรพสามิต

งามหน้า! เปิดนาที ตร.ซ้อนแผนจับ เจ้าหน้าที่สรรพสามิต รีดเงินร้านขายมือถือ 3 แสน

เปิดนาทีตำรวจซ้อนแผนจับ “เจ้าหน้าที่สรรพสามิต” อุ้มพนักงานร้านขายมือถือขึ้นรถ รีดเงิน 3 แสนบาท

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 18 มกราคม 2566 MR.WU อายุ 31 ปี ชาวจีน เดินทางเข้าแจ้งความกับ ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ ภายหลังจากชายฉกรรจ์ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ กรรมสรรพสามิต เข้ามาขอตรวจค้นด้านในร้าน จำหน่ายอุปกรณ์ โทรศัพท์มือถือ

ก่อนที่จะจับ ผู้จัดการร้าน ลูกน้อง ชาวพม่า ขึ้นรถไป พร้อมทั้งเรียก เก็บเงินกว่า 3 แสนบาท แลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว เหตุเกิดที่ห้องแถว เลขที่ ตำบล ด้านหลังบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

อุ้มพนักงานร้านขายมือถือขึ้นรถ

MR.WU กล่าวว่า ตัวเองเป็นน้องชาย เจ้าของร้าน เปิดขาย อุปกรณ์มือโทรศัพท์มือถือมานานแล้ว

แต่ก่อนเคยเปิดอยู่ในห้าง ก่อนที่จะย้ายมาเปิดเช่าห้องแถว ที่บริเวณ ซอยอู่ทอง ถัดมา ระหว่างนี้ตนเองจะมีหน่วยงานราชการ ตัวเองไม่ขอเอ่ยว่า เป็นหน่วยงานใด เข้ามาเก็บค่าลิขสิทธิ์ ที่้ร้านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนเองก็ยอมจ่ายไป เนื่องจากว่าไม่ต้องการที่จะอยากมีปัญหา

จนกระทั่งช่วงบ่ายวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเองไม่อยู่ โดยมีน้อง และ ผู้รับจ้างหญิง ชาวพม่า เฝ้าร้านอยู่กันสองคน มีชายฉกรรจ์ 6-7 คน กล่าวถึงว่า กรมสรรพสามิต ขับขี่รถมาจอดหน้าร้าน ก่อนที่จะเข้ามา ขอตรวจค้นที่ร้าน กับพูดว่า อุปกรณ์ ที่ขายอยู่ผิดกฎหมาย หนีภาษี

ก่อนที่จะจับน้อง และลูกจ้างขึ้นรถไป กระทั่งกลุ่มดังกล่าว ติดต่อมาหาตนว่า ต้องเสียค่าปรัก กว่า 3 แสนบาท ถัดมาได้มีการต่อลองลงมา จนถึงเหลือ 5 หมื่นบาท แต่ตัวเองเกรงว่าจะน้อง จะไม่ปลอดภัย และไม่มั่นใจว่า เป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือไม่ ก็เลยเดินทางมาแจ้งเหตุที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ

หลังรับแจ้ง เจ้าหน้าที่ฝ่าย สืบสวน นำโดย พันตำรวจตรีชัชพงศ์ ขาวสะอาด สว.สส.สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้นัดหมาย กับผู้เสียหาย ให้พูดคุยกับทาง กลุ่มชายฉกรรจ์ และบอกว่า จะนำเงินไปให้ตามตกลง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ จะซ้อนแผนเข้าจับตัว มีการนัดมอบเงินกันที่ รอบๆปั๊มน้ำมัน ริมถนนสุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ

โดยแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปแอบซุ่ม ข้างโรงเรียนนายเรือ ถนนสุขุมวิท ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ โดยแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปแอบซุ่มรอกระทั่งถึงเวลานัดหมาย พบรถปิ๊กอัพ โตโยต้า รีโว่ สีบรอนเงิน ทะเบียน 3 ขฌ 8533 หยุดอยู่ในปั้ม และมีผู้เสียหาย ทั้งสองคน นั่งอยู่ในรถยนต์ด้วย

จากนาย MR.WU ก็เลยนำซองกระดาษ ภายในมีเงินกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำสำเนา ไว้เป็นหลักฐานแล้ว เดินลงจากรถ ไปมอบให้กับกลุ่มชายฉกรรจ์ กระทั่งได้สัญญาณ ตำรวจ เข้าไปล้อมขอค้น

เจ้าหน้าที่ สรรพสามิต รีดเงิน 3 แสนบาท

พบว่าในรถยนต์มีชาย 3 คน อ้างถึงว่าตัวเองเป็น เจ้าหน้าที่สรรพสามิต

ส่วนเงินที่พบในรถอ้างถึงว่าผู้เสียหายเอามาให้ เพื่อจะไปชำระค่าปรับ แต่เจ้าหน้าที่ ไม่เชื่อก็เลยนำตัวชายทั้งสามคนมาสืบสวน ที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ

ทั้งนี้จากการตรวจตราในรถยนต์ พบบัตรราชการ ของ ป.ป.ส.ชื่อ นายสวโรจน์ โฉมงาม ระบุตำแหน่ง เจ้าพนักงาน ชำนาญงาน สังกัด กรมสรรพสามิต อยู่บนรถ และยังเจอเสื้อกั๊กสีดำซึ่งติดโลโก้ของ กรมสรรพสามิต 2 ตัว วางอยู่ในรถยนต์ด้วย

ไต่ถาม น.ส.มลธิลา ใจพรม 21 ปี ผู้จัดการร้าน กล่าวว่า ขณะที่ตัวเองนั่งอยู่ในร้าน มีชายฉกรรจ์มากว่า 6-7 คน สวมเสื้อกั๊กติดตราของ กรมสรรพสามิต เข้ามาในร้าน ขอตรวจค้น และพูดว่าตัวเองค้าของหนีภาษี

ก่อนที่จะพาตนเองขึ้นรถไป ต่อมาชายทั้งสามคน พาตนไปจอดรถอยู่ บริเวณหน้าที่ทำการ กรมสรรพสามิต ใกล้ศาลากลางจังหวัด สมุทรปราการ แต่ไม่ได้พาเข้าไปในที่ทำการ

ต่อมา กลุ่มชายดังกล่าว ขู่ว่าว่าถ้าไม่นำเงิน 3 แสนบาทมาจ่ายค่าปรับตามตกลง หากถูกตำรวจจับจะเรื่องใหญ่กว่านี้ และจำเป็นต้องขึ้นศาล ด้วยความกลัวตนเองจึง โทรไปหาเจ้าของร้าน และเล่ารายละเอียดให้ฟัง จนถึงมีการต่อลองจนราคาน้อยลง 8 หมื่นบาท แต่ทางเจ้าของร้านมี 5 หมื่น ก่อนที่จะมีการนัดหมาจ่ายเงินกัน ที่ปั้ม การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

ไต่สวนพื้นฐาน ทราบว่า ชายที่โดนจับได้ เป็นเจ้าหน้าที่ของ กรมสรรพสามิต 2 คน สังกัด สรรพสามิตส่วนกลาง คือ สำนักตรวจสอบป้องกัน และปราบปราม หรือเรียกว่า (สตป.) และ พลเรือน 1 คน ส่วนรายละเอียด อยู่ระหว่างการสอบสวน

ทั้งนี้ยังพบอีกว่า มีรถอีกคัน ซึ่งน่าจะเป็นของกลุ่มที่เหลือ หลังเจอตำรวจ พากันขับหนีไปก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวมาสืบสวนต่อไป

กัญชาเสรี บุกโรงเรียน

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของประเทศไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือจำหน่าย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความไม่ค่อยสบายใจให้กับหลายฝ่าย เพราะว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อต่อกรกับผลลัพธ์ที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เช่นเดียวกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับเพื่อการยับยั้งกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และเป็นความรู้สึกไม่สบายใจที่ “ครู” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลหลากเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางทีก็อาจจะกลายเป็นปัญหาแพร่กระจายใหญ่โต หากว่าไม่มีมาตรการจัดการที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

สถานการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

ครูคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสะท้อนว่า ก่อนการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็พบเจอกับปัญหา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะง่วง หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ ขณะที่คุณครูมักจะใช้ กรรมวิธีติเตียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ต้องการที่จะอยากมาเรียน เพราะเหตุว่ารู้สึกอับอาย และหวาดกลัว

จากการสังเกตของครูผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่ตอนเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ว่าคุณครูต้องต่อกรกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางแก้ปัญหาการใช้กัญชา ของเด็กนักเรียน แต่ครูที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะเหตุว่าการเข้าถึงรากของปัญหา ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้ว่าจะถูกกล่าวว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกจากโรงเรียน ก็สามารถพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ปัญหาการใช้กัญชา ในโรงเรียนเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่คุณครูต้องเผชิญ

ปัญหาข้อหนึ่งที่อาจารย์สะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเกินไป โดยยิ่งไปกว่านั้น TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว แต่ว่าข้อมูลที่ปรากฏกลายเป็นข้อมูลด้านเดียวที่ระบุว่า การใช้กัญชาจะทำให้ร่าเริงแจ่มใส ช่วงเวลาเดียวกันครูเองก็ขาดความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้คุณครูปราศจากความพร้อมสำหรับเพื่อการสอน หรือจัดการกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน ครูนิดหน่อยที่ตระหนักถึงความสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-ข้อตำหนิของกัญชา และพยายามเชื้อเชิญนักเรียนสนทนาแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการผลักดันหรือไม่มีครูท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องด้วยฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องตลกขบขัน และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้

อย่างเดียวกัน แม้นักเรียนจะมีความสนใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงวิชาความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

ครูหลายๆคนชี้ว่า อุปสรรคที่มีความสำคัญที่สุดของเหตุการณ์กัญชาในโรงเรียน คือทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ทำให้อาจารย์ปฏิบัติงานทุกข์ยากลำบาก ครูเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ออกศึกแต่ไม่มีอาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่ชี้ให้เห็นทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงแนวทางการจัดการกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน

นอกจากนั้น ภาระหน้าที่งานอื่นๆมากไม่น้อยเลยทีเดียวที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกเหตุที่ทำให้ครูผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเด็กที่มีปัญหา แม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยน แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนอาจารย์ หรือผู้ปกครอง ก็ส่งผลให้อาจารย์คนจำนวนไม่น้อยยอมไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

คุณครูที่ร่วมกลุ่มคุยสะท้อนว่า ทางออกของใจความสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนคือ สร้างการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง ให้เด็กนักเรียนได้ถามกับการใช้กัญชา เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงเปิดโอกาสให้ มีการติดต่อสื่อสารระหว่างเด็กนักเรียน อาจารย์ และผู้บริหาร เหมือนกันกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ่ยถึงจุดเด่น – จุดบกพร่องของการใช้กัญชาอย่างไม่อ้อมค้อม และสามารถเข้าถึงข้อมูลกลุ่มนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมองค์กรที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีคุณภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยครูที่ร่วมกลุ่มพูดคุยมีความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่าอาจารย์กับนักเรียนใช้คนละภาษา

นอกเหนือจากนั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็ตัดสินว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี คุณครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ยอมรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำให้การเห็นคุณประโยชน์ในตนเอง และกลับเนื้อกลับตัวให้ดียิ่งขึ้น ของนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยเหตุดังกล่าว การทำงานกับความศรัทธาของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถเชื่อใจและเสวนาได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัย เกิดความวางใจและเชื่อใจ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่มากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรจะมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในสถานศึกษาที่กำลังจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงนโยบายที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อคุ้มครองปกป้องเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงจุดบกพร่องของมัน เหมือนกับป้องกันไม่ให้เกิดคือปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ผู้สอน จนกระทั่งครูรู้สึกหมดพลังกับการขจัดปัญหารายวัน และลดทอนเชื่อถือของอาจารย์ที่ตั้งใจมาให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กนักเรียน

จิ๊บ คีตภัทร เปิดภาพปัจจุบัน

แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดัง ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวสวยที่คนไม่ใช่น้อยหลงรักเธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้เป็นอย่างมาก เช่น กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก อื่นๆอีกมากมาย ถึงแม้เดี๋ยวนี้คุณจะไม่ค่อยส่งผลงานแสดงออกทางจอให้ได้เห็นกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนคลับรักเธอ และคิดถึงหนักมาก

งานนี้พวกเราเลยไม่พลาด เชิญชวนทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปดูรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า คุณสวย หุ่นดี และโดดเด่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 เป็นดาราคนประเทศไทยในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นนักแสดงสาวคนประเทศไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของดาราชายเป็น จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีการแสดงงานเรื่องแรก ดังเช่นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นนักแสดงที่รู้จักกัน และมีชื่อเสียงในยุคนั้น ถัดมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการสลับบทเป็นนางร้าย และเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกคับคั่งนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางหน้าจอ ก็ทำเอาแฟนๆนึกถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมทั้งส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันอย่างมากมาย

แฟนคลับสุดคิดถึง จิ๊บ คีตภัทร

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังสมัย 90

เป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของศิลปินหนุ่มหล่อ จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นผู้แสดงที่ดังมากมายในสมัย 90 แม้ผู้ใดเคยเห็นละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา มั่นใจว่าจะต้องคุ้นตา จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกที เผื่อใครที่ยังไม่รู้จัก หรือ จำสาวคนนี้มิได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

กำเนิดเมื่อวันที่ 21 พ.ย. พุทธศักราช 2527

เป็นผู้แสดงชาวในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นดาราหนังสาวชาวไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ ผู้แสดงฝ่ายชายคือ จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น คุณเริ่มเข้าสู่วงการสายบันเทิงไทย เป็นดาราในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และมีผลงานเรื่องแรกดังเช่นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่งละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ มีผลงานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เธอเป็นดาราหนังที่รู้จักกัน และเป็นที่รู้จักในสมัยนั้น และอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คุณเป็นที่รู้จักเป็นเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการพลิกบทเป็นนางร้ายและเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกมาจากวงการบันเทิง และยังดำเนินงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวพร้อมกันไปด้วย และยิ่งไปกว่านี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกด้วย จำเป็นต้องพูดว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเผยเนื้อความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

จนทำให้ชาวเน็ตแอบเดากันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลายสีคือใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” ดาราหนังสาวสมัย 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 มกราคม) เจ้าตัวต้องรีบออกมาอธิบายผ่านไอจี ว่าตนเองไม่ใช่คนในข่าวอย่างแน่แท้ พร้อมจะฟ้องร้องตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”